นวัตกรรมเกษตรอินทรีย์ที่อินโดนีเซีย

เมื่อวันที่ 8-14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา วิทยากรจากมูลนิธิสายใยแผ่นดิน (วิฑูรย์ ปัญญากุล และ Michael B. Common) ได้เดินทางไปเกาะชะวา ประเทศอินโดนีเซียตามคำเชิญของ Indonesia Organic Alliance (IOA) เพื่อให้คำปรึกษาและทำการประเมินระบบ PGS (ชุมชนรับรอง) ซึ่งทาง OAI ได้ริเริ่มพัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 โดยใช้ชื่อเรียกว่า PAMOR

OAI เป็นหน่วยงานเครือข่ายด้านเกษตรอินทรีย์ที่มีบทบาทสำคัญในประเทศอินโดนีเซีย ก่อตั้งขึ้นในเดือนธันวาคม 2549 เพื่อส่งเสริมเกษตรอินทรีย์และระบบการค้าที่เป็นธรรม รวมทั้งให้บริการสนับสนุนเกษตรกรในด้านต่างๆ ทั้งเทคนิคการผลิต การตรวจสอบรับรอง และการรณรงค์ด้านนโยบาย  ปัจจุบัน OAI มีสมาชิก 47 องค์กร ส่วนใหญ่เป็นองค์กรพัฒนาเอกชนและกลุ่มผู้ผลิต โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมือง Bogor เกาะชวา

ในการประเมินระบบ PAMOR ทางวิทยากรได้รับเชิญให้ทำการประเมินผู้ประกอบการ 2 ราย ที่ภาคตะวันออกของเกาะชวา ซึ่งทั้งสองกลุ่มเป็นกลุ่มที่มีนวัตกรรมเกษตรอินทรีย์ที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว

กลุ่มแรก คือ “Benjonk” ซึ่งเป็นสหกรณ์ผู้ผลิต ที่ผู้นำเป็นอดีตนักพัฒนาที่ผันตัวไปเป็นเกษตรกร  นวัตกรรมของกลุ่ม Benjonk คือการการส่งเสริมโรงเรือนสำหรับการปลูกผัก เพื่อผลิตผักทั้งปี แม้แต่ฤดูฝน เพราะพื้นที่ของกลุ่มนี้ อยู่บนภูเขาสูง (ราว 700 กว่าเมตรจากระดับน้ำทะเล) ซึ่งมีอากาศค่อนข้างเย็นตลอดทั้งปี และมีน้ำเพียงพอ  แต่ปัญหาหลักคือ ในช่วงฤดูฝน มีฝนตกหนักมาก จนไม่สามารถที่จะปลูกผักได้ เนื่องจนเม็ดฝนจะกระแทกต้นกล้าผักเสียหาย  ทางกลุ่มจึงได้พัฒนาโรงเรือนขนาดเล็ก (5 x 6 เมตร) ที่ลงทุนเพียง 8,000 บาท ก็สามารถที่จะผลิตผักเกษตรอินทรีย์ได้ 200-250 กำ/เดือน (กำหนึ่งก็ประมาณ 200 กรัม) โดยทางกลุ่มจะรับซื้อผลผลิตจากสมาชิก เพื่อไปจำหน่ายต่อให้กับร้านค้าและผู้บริโภค  ซึ่งจากการพูดคุยกับกลุ่ม การลงทุนโรงเรือนปลูกผักในมุ้งนี้ เกษตรกรสามารถคืนทุนได้ในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน เพราะตลาดมีความต้องการผลผลิตผักเกษตรอินทรีย์ค่อนข้างมาก

อีกกลุ่มหนึ่งคือ “Vigur” ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรชานเมือง Malang  ผู้นำและสมาชิกส่วนใหญ่เป็นแม่บ้าน (แต่ก็มีสมาชิกที่เป็นพ่อบ้านก็มี) เริ่มจากปลูกผักไว้กินเอง ในพื้นที่เล็กๆ รอบบ้าน (ไม่กี่ตารางวา) และเมื่อมีผักเหลือ ก็นำออกจำหน่ายให้กับร้านอาหาร ร้านค้า และผู้บริโภคอื่นๆ ในบริเวณใกล้ๆ  ระบบการปลูกก็ไม่สลับซับซ้อนอะไร ส่วนใหญ่ก็จะปลูกในบริเวณรอบๆ บ้านแทนการปลูกไม้ประดับอย่างที่นิยมในบ้านเรา